เป็น Linux Distribution ที่มีหน้าจอเหมือน Windows ใช้งานง่ายบักค่อนข้างน้อย เป็น Linux ที่รันอยู่บนเครื่อง PC ที่ใช้ทำงานในการรับทำแอพเป็นเครื่องหลัก เพราะมีความสะดวกต่อการใช้ในการรับทำแอพมาก เป็นระบบยูนิกซ์ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ hosting ที่เช่าในการรับทำแอพพลิเคชั่น โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิ์ของไฟล์ ทำให้สะดวกในการรับทำแอพที่ต้องมีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์
วีดีโอย่อย
- ติดตั้งไดร์เวอร์
- ตั้งค่า Panel
- ปรับขนาดฟอนต์
- ปรับ Windows Effect
- เปลี่ยน Desktop Background
- ตั้งค่าคีย์บอร์ดเปลี่ยนภาษา
- อัพเดทและติดตั้งซอฟต์แวร์
- ตั้งค่าเวลา
- ตั้งค่า Workspace
- ตั้งค่าเสียง
การติดตั้ง Linux Mint
จะใกล้เคียงกับ Linux ubuntu เพราะ Linux Mint ก็พัฒนามาจาก Linux ubuntu จะมีลิงก์ไปยังการติดตั้ง ubuntu ซึ่งสามารถที่จะดูจาก (การติดตั้ง ubuntu desktop ) และการดาวน์โหลดไฟล์ ISO สำหรับทำแผ่น Boot หรือสำหรับติดตั้งกับ VirtualBox ก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ (ดาวโหลด Linux Mint) โดยสามารถเลือกดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในประเทศไทยหรือใกล้เคียงกับประเทศไทยได้เพื่อความเร็วในการดาวน์โหลดหรือจะดาวน์โหลดแบบ torrent ก็ได้ โดยเลือก Desktop เป็น cinnamon แบบ 64 bit
การติดตั้งไดร์เวอร์
ในหน้าจอ Start Up หลังจากที่ติดตั้ง Linux Mint จะมีให้เลือกไดร์เวอร์

หรือถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงภายหลังสามารถเข้าไปที่ start menu ค้นหาคำว่า driver แล้วเลือก Driver Manager

จากนั้นจะมีหน้าจอแสดงไดร์เวอร์ที่ใช้อยู่และไดร์เวอร์ที่รองรับเราสามารถเลือกรุ่นให้ตรงกับอุปกรณ์ที่เราใช้ได้

จากนั้นให้ทำการ Restart เครื่อง เพื่อเริ่มใช้ไดร์เวอร์ตัวใหม่อย่างในภาพการ์ดจอจะเป็น Nvidia ส่วน CPU เป็น Intel

แถบ Panel ควรอยู่ด้านล่างหรือด้านบน
Panel จะทำงานเหมือนเป็น Task bar ใน Windows ทำหน้าที่ในการเปิดปิดโปรแกรมและสลับโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ โดยปกติเราจะเคยชินกับการที่ panel จะอยู่ด้านล่าง แต่สำหรับในการรับทำแอพของผมจะถนัดด้านบนมากกว่า เพราะโดยส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่การทำงานเป็นครึ่งจอด้านบนเช่นการอ่านเว็บไซต์ จะเริ่มอ่านจากด้านบนหรือการเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่พื้นที่สำหรับการเขียนจะอยู่ตรงกลางไปทางด้านบน ส่วนด้านล่างและด้านซ้ายจะเป็นพื้นที่สำหรับแสดงข้อมูลของการรับทำแอพพลิเคชั่นทำให้ระยะในการเลื่อนเมาส์ขึ้นไปสลับโปรแกรมทำได้สะดวกกว่า ส่วน Ubuntu ค่าเริ่มต้นจะเป็นทางด้านซ้าย ซึ่งจะมีแนวคิดมาจากว่าหน้าจอปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแบบ Wide screen คือมีความกว้างมาก ทำให้มีพื้นที่ทั้งด้านซ้ายและขวามากจึงสามารถนำเอามาไว้เป็นตำแหน่งของ taskbar ได้ กับอีกส่วนคือ Ubuntu ต้องการที่จะรองรับในส่วนของแท็บเล็ตด้วยซึ่งทางด้านซ้ายและขวาจะเป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้นิ้วโป้งมากที่สุดสามารถใช้ในการเปิดปิดโปรแกรมและสลับโปรแกรมได้ง่าย
หากต้องการเปลี่ยนตำแหน่งให้คลิกขวาที่แถบ panel เลือก panel settings
จะมีเมนู move panel ให้เลือก
หลังจากเลือกแล้วจะมีตำแหน่งทั้ง 4 ด้านคือด้านบนด้านล่างและซ้ายขวาให้เลือกด้านที่ต้องการ

ตัวพาแนลจะย้ายไปอยู่ที่ด้านนั้นโดยอัตโนมัติ

การปรับวินโดว์ Effect และ Background
โดยค่าเริ่มต้นเวลาที่คลิกขวาเพื่อ Pop Up เมนู Linux Mint จะแสดงเมนูแบบมีเอฟเฟคหากใครไม่ชอบก็สามารถปิดได้
โดยเข้าไปที่ System setting แล้วเลือก effects ปิด Windows effects ได้
สำหรับการเปลี่ยน Desktop background ให้คลิกขวาที่หน้าจอ แล้วเลือก Change Desktop background

โดยสามารถเลือกรูปภาพ ที่มากับ Linux Mint

หรือจะเลือกรูปภาพที่ดาวน์โหลดมาเองได้ หากรูปใดไม่ยอมให้เลือกมาเป็น Desktop background

สามารถไปที่ file management แล้วเปิดไฟล์รูปภาพนั้นขึ้นมาคลิกขวาที่รูปภาพแล้วเลือก Set as wallpaper ได้

การปรับขนาด Panel และตัวอักษรให้เหมาะสมกับหน้าจอ
สำหรับหน้าจอที่มีความละเอียดสูงแสดงผลด้วยขนาดปกติแถบ panel และตัวอักษรจะมีขนาดเล็กมากด้วยการปรับจะแยกเป็น 2 ส่วนคือการปรับขนาด panel และขนาดตัวอักษร โดยการเปลี่ยนขนาด panel ทำได้โดยการคลิกขวาที่แถบ panel แล้วเลือก panel settings

ทำการเลื่อนแถบซ้ายขวาเพื่อเลือกขนาดที่เหมาะสม
ส่วนการปรับขนาดตัวอักษรให้ไปที่ start menu เลือก System settings แล้วเลือกฟ Fonts

จากนั้นปรับ Text scaling factor ตามที่ต้องการได้ สำหรับหน้าจอที่ผมใช้อยู่จะเป็นจอ 27 นิ้วความละเอียด 1080p ใช้อยู่ที่ 1.2 ก็เหมาะสม

แต่สำหรับในการบันทึกวิดีโอจะปรับให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดประมาณ 1.3 เพื่อให้เห็นได้สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับการเปิดวีดีโอที่ไม่เต็มหน้าจอ
การซ่อนและแสดงแถบ Panel
จะมีด้วยกันอยู่ 3 โหมดคือแสดงตลอดเวลา( always show) ซ่อนอัตโนมัติ(auto hide) และซ่อนแบบอัจฉริยะ(intelligently hiding)

โดยการซ่อนตลอดเวลา panel จะไม่แสดงที่หน้าจอ desktop จนกว่าจะเลื่อนเมาส์ไปที่ขอบจอด้านที่แถบ panel นั้นอยู่ ส่วนการซ่อนแบบอัจฉริยะตัวแถบ panel จะแสดงตลอดเวลาจะซ่อนก็ต่อเมื่อ มีการขยายหน้าจอของโปรแกรมให้เต็มหน้าจอหรือเลื่อนขึ้นไปจนทับซ้อนกับ panel โดย panel ก็จะซ่อนออกไปจากหน้าจอให้โดยอัตโนมัติ
การตั้งปุ่มสลับแป้นพิมพ์ภาษาไทย
คลิกที่รูปธงชาติมุมบนขวามือแล้วเลือก Keyboard settings แล้วเลือก layout จากนั้นไปที่ Switching to Another layout แนะนำให้เลือกเป็น alt + Space จะใช้งานได้สะดวก



เพราะการพิมพ์สัมผัสเมื่อเราวางมือไว้ที่แป้นเราสามารถใช้นิ้วโป้งด้านซ้ายกด alt และใช้นิ้วโป้งด้านขวากด Space Bar ได้ ทำให้สะดวกในการพิมพ์สัมผัส

โดย alt + Space Bar จะซ้ำกับ activate windows menu ให้เราเข้าไปที่ Tab Shortcut แล้วยกเลิก alt + Space สำหรับ activate windows เมนูจะทำให้สามารถใช้ปุ่มเปลี่ยนภาษาได้อย่างไม่มีปัญหา

การอัพเดท Linux Mint
สามารถใช้งานได้ทั้งคําสั่ง Command line และ GUI โดยสามารถเลือกระดับการอัพเกรดได้ 3 แบบ

แบบที่ 1 จะเป็นการอัพเดทเฉพาะแพ็คเกจที่มีความเสถียรมากๆ แบบที่สองจะเป็น Package ที่มีความเสถียรปานกลาง และแบบสุดท้ายจะเป็นแบบอัพเดตซอฟต์แวร์ที่มีการออกมาใหม่ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

โดยสำหรับการใช้งานทั่วไป สามารถใช้แบบที่ 2 ได้หากเป็นระบบที่ผู้ใช้ไม่ค่อยมีประสบการณ์และมีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนมากสามารถเลือกแบบที่ 1 เพื่อเพิ่มความเสถียรของระบบได้แต่หากเป็นนักพัฒนาและต้องการใช้แพคเกจที่มีความใหม่ตลอดสามารถเลือกแบบที่ 3 ได้

หลังจากเลือกระดับในการอัพเดทแล้วให้ทำการเลือก Server ที่ต้องการใช้ในการอัพเดทโดยให้เลือก Server ที่มีความเร็วสูงสุดเช่น Server ในประเทศไทย

ซึ่งในการเลือกจะมีการตรวจวัดความเร็วขึ้นมาให้เห็น

โดยเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วสูงจะอยู่ด้านบนหลังจากเลือก Server แล้วให้ทำการกด Update Package List ว่ามีเวอร์ชั่นใหม่อะไรบ้าง

หลังจากนั้นถ้ามีแพคเกจใหม่ให้ทำการ Update Package ใหม่อีกครั้งหนึ่ง


หากต้องการใช้คำสั่ง Command Line สามารถใช้คำสั่งนี้ได้
sudo apt update
จะเป็นการ Update Package List ว่ามีแพคเกจอะไรใหม่ๆบ้างจากนั้นใช้คำสั่ง
sudo apt upgrade
เพื่อทำการติดตั้ง Package ใหม่เข้าไปในระบบ

โดยในส่วนของการเลือกเซิฟเวอร์แนะนำว่าให้ทำผ่าน GUI เพราะจะมีเรื่องของการตรวจสอบความเร็วขึ้นมาแสดงให้เห็นว่า server ไหนมีความเร็วสูง จะสะดวกกว่าการใช้งานผ่าน command line โดยหลังจากนั้นถ้ามีการเลือกเซิฟเวอร์แล้วต้องการจะสั่ง update ผ่าน command line ก็สามารถทำได้
ข้อแตกต่างระหว่าง apt, apt-get และ apt-cache
โดย apt-get จะใช้สำหรับติดตั้งและเอา Software ออก ส่วน apt-cache ใช้สำหรับในการค้นหาซอฟต์แวร์ โดยที่ apt จะใช้สำหรับติดตั้ง เอาซอฟต์แวร์ออก และค้นหาซอฟต์แวร์ได้ ซึ่งเป็นคำสั่งรุ่นใหม่ที่ทำให้ใช้งานง่ายขึ้นโดยไม่ต้องไปเรียกใช้ Software แยกกันทั้งสองแบบโดย apt จะทำหน้าที่ไปเลือกที่จะเรียกใช้ app-get และ app-cache ให้เองโดยอัตโนมัติ
การตั้งเวลาและรูปแบบ
ให้ไปที่มุมบนด้านขวาคลิกที่นาฬิกาเลือก Date and Time settings ด้านล่าง เลือกแบบ 24h จะเป็นรูปแบบ 24 ชั่วโมงของไทย หากต้องการตั้งให้มีการตั้งค่าเวลาโดยอัตโนมัติจากอินเตอร์เน็ตให้ใส่ Network Time เป็น ON เลือก region เป็น asia และ City Bangkok จะได้เป็นเวลาของไทยโดยอัตโนมัติ

การติดตั้งซอฟต์แวร์
สามารถทำได้ทั้งแบบ Command line และแบบ GUI โดยแบบ Command line จะใช้คำสั่ง
sudo apt install <ชื่อซอฟต์แวร์>

สำหรับการติดตั้งส่วน การเอาซอฟต์แวร์ออกจะใช้คำสั่ง
sudo apt autoremove <ชื่อซอฟต์แวร์>


ส่วนการติดตั้งแบบ GUI จะใช้ Software Manager




ด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์จะมีโดยหลักหลักอยู่ 2 แบบ คือซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ใน Library ของ Linux Mint สามารถใช้คำสั่งด้านบนหรือ Software Manager และซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้อยู่ใน Library ของ Linux Mint จะต้องมีการติดตั้งโดยการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเป็นไฟล์ .deb



เมื่อได้ไฟมาแล้วสามารถคลิกขวาเลือกเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้งได้ หรือใช้คำสั่ง Command Line
sudo dpkg -i <ชื่อไฟล์>

และสำหรับการลบซอฟต์แวร์ออกใช้คำสั่ง
sudo dpkg -r <ชื่อไฟล์>

ข้อดีของการใช้ Google Chrome
สำหรับในการรับทำแอพพลิเคชั่นจะมีการใช้บราวเซอร์เพื่อทำการค้นหาข้อมูลโดยบราวเซอร์หลักที่ใช้จะเป็น Google Chrome ในการค้นหาข้อมูลเพื่อรับทำแอพ เนื่องจากจอที่ใช้ในการรับทำแอพมีขนาด 27 นิ้วความละเอียด 1080p เมื่อใช้ค่าขนาด 100 เปอร์เซ็นต์ของ Web Browser ตัวอักษรจะมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นจึงต้องมีการใช้การซูม (zoom) ซึ่งตัว Google Chrome สามารถตั้ง default Zoom ได้โดยง่ายและใช้งานได้ดี ทำให้การค้นหาข้อมูลในการรับทำแอพพลิเคชั่นทำได้สะดวก

โดยเข้าไปที่ settings ของ google chrome ค้นหาคำว่า zoom จากนั้นปรับเลือกค่าเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการได้ โดยหากไม่แน่ใจก่อนเข้าไปที่หน้าจอ settings ให้กดด ctrl+- หรือ ctrl++ ที่หน้าจอใช้งานปกติ และสังเกตที่มุมบนด้านขวาของโปรแกรม google chrome จะแสดงสถานะเปอร์เซ็นการซูมปัจจุบันได้และใช้ค่านั้นมาในการตั้งค่าที่หน้า setting ของ chrome ได้

การใช้งาน Workspace
ในกรณีที่เรามีงานหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น กำลังเขียนโปรแกรมพร้อมกับหาข้อมูล บางครั้งในการเขียนโปรแกรมอาจจะมีการเปิดซอฟต์แวร์ที่ใช้งานหลายหน้าต่าง ในขณะเดียวกันหน้าจอในการค้นหาข้อมูลก็อาจจะต้องมีการเซฟรูปภาพหรือแก้ไขรูปภาพไปด้วยพร้อมกัน


เราสามารถแยกงานออกไปเป็นแต่ละ workspace ได้ เพื่อทำให้การสลับหน้าต่างของแต่ละงานนั้นทำได้ง่ายเหมือนกับว่ามีหน้าจอหลายหน้าจอ ทำให้ไม่ต้องย่อและขยายหน้าต่างสลับไปมาบ่อยครั้งทำให้การรับทำแอพทำได้สะดวกโดยเฉพาะในการรับทำแอพพลิเคชั่นจะต้องมีการเปิดซอฟต์แวร์เพื่อทำการเขียนโปรแกรมและหาข้อมูลหลายหน้าต่างมาก


การตั้งค่าอุปกรณ์เสียง
จากหน้าจอ system settings ให้เข้าไปที่เมนู sound จะมีการตั้งค่า output และ input

โดย output จะเป็นอุปกรณ์ลำโพงส่วนอินพุตจะเป็นไมโครโฟน

สำหรับการใช้งานลำโพงที่เป็น Bluetooth จะมีปัญหาว่า เมื่อตั้งค่าใช้งานลำโพงบลูทูธแล้ว จะไม่สามารถปรับระดับเสียงได้จากคีย์บอร์ด

ซึ่งทางแก้คือให้เข้าไปที่เมนู sound ไปที่ output และคลิกเลือกที่ลำโพง Bluetooth อีกครั้งเพื่อให้กำหนดให้คีย์บอร์ดควบคุมอุปกรณ์นี้

การตั้งค่าอื่นๆ
สามารถไปที่ start menu เลือก System settings ที่ด้านบนมุมซ้ายจะมีรูปแบบคล้ายกับ Control panel ของ Windows สามารถใช้ตั้งค่าเมาส์ Display, Theme รูปแบบขนาดตัวอักษรและการปรับแต่งอื่นได้เช่นเดียวกับ Control panel ของ Windows ซึ่งมีรูปแบบการใช้งานที่คล้ายกัน
เหตุผลที่ใช้ Linux Mint ในการรับทำแอพ
Linux Mint เป็น Linux ที่มีหน้าจอเรียบง่ายมี Bug น้อยเมื่อเทียบกับ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu ซึ่งการทำงานโดยส่วนใหญ่แล้ว ในการรับทำแอพเราจะใช้ซอฟต์แวร์ไม่ได้ใช้ความสามารถของระบบปฏิบัติการ ยกตัวอย่างเช่นต้องการพัฒนาระบบ PHP ก็จะใช้ text editor ที่สามารถ Highlight Code ของ PHP ได้ หรือถ้าจะรับทำแอพ Android ก็จะใช้ Android Studio ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เฉพาะและรองรับระบบปฏิบัติการ Windows, Linux และ Mac OS ได้ ซึ่งการใช้งานในระบบปฏิบัติการทั้งสามก็มีการใช้งานที่เหมือนกันส่วน Windows นั้นจะมีข้อเสียคือระบบไฟล์จะไม่มีในเรื่องของสิทธิ์ของไฟล์เหมือนกับระบบยูนิกซ์ซึ่งเป็นระบบหลักที่ใช้ในการเช่าโฮสเพื่อรับทำ app เป็นหลักและยังมีเรื่องของไวรัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยโดยเฉพาะในกรณีที่เราใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ถูกต้องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ส่วนถ้าจะซื้อให้ถูกต้องก็จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงเป็นการเพิ่มต้นทุนในการรับทำแอพพลิเคชั่น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือกใช้ Linux Mint หลังจากที่ได้เคยลองใช้ Linux มาหลายดิสทิบิวชั่นแล้ว เป็น Linux ที่ใช้งานง่ายมีซอฟต์แวร์รองรับสูงเนื่องจากเป็น Linux Distribution ที่ได้รับความนิยมสูงหรือเมื่อมีปัญหาก็สามารถหาข้อมูลในการแก้ปัญหาได้ง่ายเพราะมีคนใช้งานจำนวนมาก